ข่าวสาร
เอ็กโก กรุ๊ป ผนึกกำลัง บีไอจี ศึกษาการผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจนและเซลล์เชื้อเพลิง มุ่งเป้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน
12 กรกฎาคม 2566
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป จับมือ บีไอจี ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อความร่วมมือในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากก๊าซไฮโดรเจนสำหรับการผลิตไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยคาร์บอน เล็งนำผลการศึกษาไปใช้ในโรงไฟฟ้าในกลุ่มเอ็กโก มุ่งเป้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมสร้างโอกาสต่อยอดธุรกิจพลังงานสะอาดร่วมกันในอนาคต
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งมั่นขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน ตามเป้าหมายระยะสั้น คือ ลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Carbon Emissions Intensity) ลง 10% ภายในปี 2030 (2573) และเป้าหมายระยะยาว คือ การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 (2593) โดยเฉพาะการส่งเสริมแผนการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า โดยมีความเชื่อมั่นว่าเชื้อเพลิงไฮโดรเจนจะเป็นพลังงานทางเลือกที่สำคัญและมีศักยภาพรองรับการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสีเขียว รวมถึงมุ่งมั่นผลักดันการใช้เชื้อเพลิงต่าง ๆ ที่สะอาดขึ้น และพัฒนาเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
“ความร่วมมือระหว่างเอ็กโก กรุ๊ป ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจผลิตไฟฟ้ามากว่า 31 ปี และบีไอจี ที่มีความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมและไฮโดรเจนเชิงพาณิชย์มากว่า 35 ปี จะช่วยผลักดันเป้าหมายการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำของทั้งสององค์กรและของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรม ตลอดจนช่วยต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานสะอาดระหว่างองค์กรในอนาคต ทั้งนี้ เอ็กโก กรุ๊ป จะนำผลการศึกษาจากความร่วมมือครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้ในโครงการผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์เชื้อเพลิงจากไฮโดรเจน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดในกลุ่มเอ็กโก เพื่อส่งเสริมให้เกิดการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงทางเลือกและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์”
นายปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บีไอจี เปิดเผยว่า บีไอจี เป็นบริษัทในเครือ Air Products จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืนในประเทศไทย เป็นผู้นำนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนเป็นผู้ผลิตก๊าซไฮโดรเจนรายใหญ่ที่สุดของไทย เราเชื่อมั่นว่าการจะแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศได้ ก๊าซไฮโดรเจนจะเข้ามามีส่วนสำคัญ บีไอจีเป็นผู้ผลักดันและให้ความสำคัญกับการผลิตและใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ โดย Air Products บริษัทแม่ของบีไอจี เป็นผู้นำนวัตกรรมการใช้ไฮโดรเจนเพื่อความยั่งยืนและการผลิตไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำอันดับหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไฮโดรเจนเพื่อประโยชน์ในการกักเก็บพลังงาน การใช้เป็นแหล่งพลังงานสะอาดสำหรับในภาคอุตสาหกรรม และการใช้ไฮโดรเจนในการขับเคลื่อนยานยนต์ เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการผสานความเชี่ยวชาญของทั้งสององค์กร เพื่อพัฒนาธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมไฟฟ้าไปสู่เป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำได้อย่างยั่งยืน
เกี่ยวกับเอ็กโก กรุ๊ป
ปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,202 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,249 เมกะวัตต์ (คิดเป็นสัดส่วน 20% ของกำลังผลิตทั้งหมด) ทั้งจากชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และเซลล์เชื้อเพลิง โดยได้รับการจัดอันดับอยู่ใน Dow Jones Sustainability Index (DJSI) มา 3 ปีต่อเนื่อง ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (“ทีพีเอ็น”) โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม “เอ็กโกระยอง” ตลอดจนยังได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย บริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน (“เพียร์ พาวเวอร์”) บริษัทด้านการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรม (“อินโนพาวเวอร์”)
เกี่ยวกับบีไอจี
บีไอจี ผู้นำนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Technology Company) เป็นบริษัทในเครือแอร์โปรดักส์ (Air Products and Chemicals, Inc., APD) ซึ่งเป็นบริษัทใน New York Stock Exchange (NYSE) และ US Fortune 500 โดยได้รับการจัดอันดับอยู่ใน Dow Jones Sustainability Index (DJSI) อย่างต่อเนื่องตลอด 13 ปี ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านความยั่งยืน ด้วยผลิตภัณฑ์ก๊าซอุตสาหกรรม นวัตกรรม เทคโนโลยีการใช้ก๊าซสำหรับทุกอุตสาหกรรม และเป็นผู้ลงทุนโครงการกรีนไฮโดรเจน กรีนแอมโมเนียรายใหญ่ที่สุดของโลก รวมทั้งเทคโนโลยีการกักเก็บคาร์บอน เพื่อผลักดันการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน ด้วยเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050